17 มกราคม 2551
15 มกราคม 2551
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
การรักษาโรคกระดูดด้วยนำมันสมุนไพร
ประสานกระดูก ของพระใบฎีกาแหล อินทวํโส
หลวงพ่อแหล้ วัดดอนตูม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
นักภูมิปัญญาชาวบ้านด้านการรักษาโรคกระดูกด้วย
น้ำมันสมุนไพร นามเดิมชื่อ แหล้ แก่นศึกษา
วิธีบำบัดรักษาโรคกระดูก หลวงพ่อแหล้ใช้วีธีผสมผสานระหว่าง
แพทย์แผนโบราณและแพทย์แผนปัจจุบัน โดยขั้นแรกจะขอดูฟิล์ม
เอกซเรย์กระดูกของผู้ป่วย เพื่อตรวจดูลักษณะการแตกหักของกระดูก
จากนั้นใช้วิธีดึงกระดูกที่เคลื่อนให้เข้าที่ ใส่ยาเป่าคาถาประสานกระดูก
และดับพิษไฟก็หายกลับบ้านได้ในรายที่ไม่มีแผลหรือได้รับการกระทบ
กระเทือนเพียงเล็กน้อย แต่ถ้ามีบาดแผลปวดบวมมากหรือเนื้อเน่าจนถึง
กระดูก ท่านจะให้เจ้าหน้าที่พยาบาลฉีดยาปฏิชีวนะระงับอาการบวม
และพักรักษาจนแผลยุบ จึงค่อยเข้าเฝือกด้วยวิธีง่าย ๆ แบบโบราณคือ
ชำระแผลด้วยน้ำอุ่น ใช้นำมันสมุนไพรทาตรงบริเวณแผล เป่าคาถา
ประสานกระดูก ดับพิษไฟ จากนั้นปิดทับด้วยสำลีพันทับด้วยผ้าพันแผล
ใช้ไม้ไผ่มีขนาดสั้นยาวแล้วแต่ขนาดของอวัยวะส่วนที่ต้องการรักษา
โดยทำการประกบขนาบทั้งสองข้างและขันชะเนาะให้แน่นเป็นระยะ
3 เปลาะ หลังจากนี้ก็ใกลับบ้านได้ เมื่อหายก็ให้มาตัดเฝือกออก
ถ้าเป็นมากอาจต้องรักษาตัวหลายเดือน เพื่อความสะดวกหลวงพ่อ
ได้สร้างห้องพักไว้เป็นห้อง ๆ สำหรับผู้ป่วย
น้ำมันสมุนไพรตัวยาที่ใช้เป็นส่วนผสมของการหุงน้ำมันสมุนไพร
ประสานกระดูก คือ น้ำมันมะพร้าว ขมิ้นอ้อย บอระเพ็ด ใบโคนดินสอ
หัวกระเทียมบดผสมเกลือป่น ใช้น้ำร้อนต้มกับใบชาทำเป็นกระสายยา
วิธีการหุงน้ำมันให้นำตัวยาทั้งหมดเคี่ยวบนเตาไฟร้อน ๆ ให้งวด และ
บริกรรมคาถาพระโมคคัลลาน์ น้ำมันของหลวงพ่อมีสรรพคุณ
เรียกเนื้อที่เน่าจนถึงกระดูกให้เต็มสมบูรณ์
จากผลสำเร็จของการรักษาของท่านเป็นที่ประจักษ์ คณะแพทย์จาก
โรงพยาบาลศิริราชได้อารธนาหลวงพ่อไปให้ความรู้และวิธีรักษาถึง
2 ครั้ง ท่ามกลางคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิร่วม 200 คน
การประกอบตัวถังรถยนต์
ร้อยละ 40 ของรถบัส หรือรถโดยสารในเมืองไทยต่อกันขึ้นเอง
ในเขตบ้านโป่ง จังหวัดราขบุรีโดยเฉพาะรถที่วิ่งภายในระหว่าง
จังหวัดแทบจะทุกภาคของประเทศไทย สันนิจฐานว่า
อุตสาหกรรมต่อรถเริ่มดำเนินกิจการในช่วงหลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2 และค่อย ๆ เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ การประกอบ
ตัวถังรถเริ่มจากการติดตั้งโครงรถ เชื่อมด้วยสแตนเลส
อลูมิเนียมหรือเหล็กตามความต้องการของลูกค้าและเคลือบสี
ทั้งคัน จากนั้นก็เป็นการตกแต่งภายใน ในระยะแรกเป็นการต่อ
รถบัสไม้เป็นรถหกล้อ ต่อมาการต่อรถได้มีการพัฒนาขึ้น
เป็นลำดับ เปลี่ยนวัสดุจากไม้เป็นเหล็ก จนปัจจุบันเป็นรถติด
เครื่องปรับอากาศ แม้นจะมีกิจการต่อรถในภูมิภาคอื่นเข้ามา
แข่งขันแต่ด้วยความปราณีตและฝีมือที่สะสมมานาน
อู่บ้านโป่งก็ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งในตลาดรถบัสไว้ได้
อย่างเหนี่ยวแน่นเช่นในอดีต
ประสานกระดูก ของพระใบฎีกาแหล อินทวํโส
หลวงพ่อแหล้ วัดดอนตูม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
นักภูมิปัญญาชาวบ้านด้านการรักษาโรคกระดูกด้วย
น้ำมันสมุนไพร นามเดิมชื่อ แหล้ แก่นศึกษา
วิธีบำบัดรักษาโรคกระดูก หลวงพ่อแหล้ใช้วีธีผสมผสานระหว่าง
แพทย์แผนโบราณและแพทย์แผนปัจจุบัน โดยขั้นแรกจะขอดูฟิล์ม
เอกซเรย์กระดูกของผู้ป่วย เพื่อตรวจดูลักษณะการแตกหักของกระดูก
จากนั้นใช้วิธีดึงกระดูกที่เคลื่อนให้เข้าที่ ใส่ยาเป่าคาถาประสานกระดูก
และดับพิษไฟก็หายกลับบ้านได้ในรายที่ไม่มีแผลหรือได้รับการกระทบ
กระเทือนเพียงเล็กน้อย แต่ถ้ามีบาดแผลปวดบวมมากหรือเนื้อเน่าจนถึง
กระดูก ท่านจะให้เจ้าหน้าที่พยาบาลฉีดยาปฏิชีวนะระงับอาการบวม
และพักรักษาจนแผลยุบ จึงค่อยเข้าเฝือกด้วยวิธีง่าย ๆ แบบโบราณคือ
ชำระแผลด้วยน้ำอุ่น ใช้นำมันสมุนไพรทาตรงบริเวณแผล เป่าคาถา
ประสานกระดูก ดับพิษไฟ จากนั้นปิดทับด้วยสำลีพันทับด้วยผ้าพันแผล
ใช้ไม้ไผ่มีขนาดสั้นยาวแล้วแต่ขนาดของอวัยวะส่วนที่ต้องการรักษา
โดยทำการประกบขนาบทั้งสองข้างและขันชะเนาะให้แน่นเป็นระยะ
3 เปลาะ หลังจากนี้ก็ใกลับบ้านได้ เมื่อหายก็ให้มาตัดเฝือกออก
ถ้าเป็นมากอาจต้องรักษาตัวหลายเดือน เพื่อความสะดวกหลวงพ่อ
ได้สร้างห้องพักไว้เป็นห้อง ๆ สำหรับผู้ป่วย
น้ำมันสมุนไพรตัวยาที่ใช้เป็นส่วนผสมของการหุงน้ำมันสมุนไพร
ประสานกระดูก คือ น้ำมันมะพร้าว ขมิ้นอ้อย บอระเพ็ด ใบโคนดินสอ
หัวกระเทียมบดผสมเกลือป่น ใช้น้ำร้อนต้มกับใบชาทำเป็นกระสายยา
วิธีการหุงน้ำมันให้นำตัวยาทั้งหมดเคี่ยวบนเตาไฟร้อน ๆ ให้งวด และ
บริกรรมคาถาพระโมคคัลลาน์ น้ำมันของหลวงพ่อมีสรรพคุณ
เรียกเนื้อที่เน่าจนถึงกระดูกให้เต็มสมบูรณ์
จากผลสำเร็จของการรักษาของท่านเป็นที่ประจักษ์ คณะแพทย์จาก
โรงพยาบาลศิริราชได้อารธนาหลวงพ่อไปให้ความรู้และวิธีรักษาถึง
2 ครั้ง ท่ามกลางคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิร่วม 200 คน
การประกอบตัวถังรถยนต์
ร้อยละ 40 ของรถบัส หรือรถโดยสารในเมืองไทยต่อกันขึ้นเอง
ในเขตบ้านโป่ง จังหวัดราขบุรีโดยเฉพาะรถที่วิ่งภายในระหว่าง
จังหวัดแทบจะทุกภาคของประเทศไทย สันนิจฐานว่า
อุตสาหกรรมต่อรถเริ่มดำเนินกิจการในช่วงหลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2 และค่อย ๆ เจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ การประกอบ
ตัวถังรถเริ่มจากการติดตั้งโครงรถ เชื่อมด้วยสแตนเลส
อลูมิเนียมหรือเหล็กตามความต้องการของลูกค้าและเคลือบสี
ทั้งคัน จากนั้นก็เป็นการตกแต่งภายใน ในระยะแรกเป็นการต่อ
รถบัสไม้เป็นรถหกล้อ ต่อมาการต่อรถได้มีการพัฒนาขึ้น
เป็นลำดับ เปลี่ยนวัสดุจากไม้เป็นเหล็ก จนปัจจุบันเป็นรถติด
เครื่องปรับอากาศ แม้นจะมีกิจการต่อรถในภูมิภาคอื่นเข้ามา
แข่งขันแต่ด้วยความปราณีตและฝีมือที่สะสมมานาน
อู่บ้านโป่งก็ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งในตลาดรถบัสไว้ได้
อย่างเหนี่ยวแน่นเช่นในอดีต
03 มกราคม 2551
ในหลวงและเทคโนโลยี
โครงการแก้มลิง
“...เมื่ออายุ ๕ ขวบ มีลิงเอากล้วยไปให้มันเคี้ยว เคี้ยว แล้วใส่ในแก้มลิง ตกลง “โครงการแก้มลิง” นี้มีที่เกิด เมื่อเราอายุ ๕ ขวบ ก็นี่เป็นเวลา ๖๓ ปี มาแล้ว ลิงสมัยโน้นลิงโบราณเขาก็มีแก้มลิงแล้ว เขาเคี้ยว แล้วเอาเข้าไปเก็บในแก้ม น้ำท่วมลงมา ถ้าไม่ทำ “โครงการแก้มลิง” เพื่อที่จะเอาน้ำนี้ไปเก็บไว้...” พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๘
โครงการแก้มลิงเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยการขุดลอกคลองชายฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นคลองพักน้ำขนาดใหญ่หรือ “แก้มลิง” แล้วระบายน้ำออกสู่ทะเลโดยใช้หลักทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก หรือน้ำขึ้นน้ำลงตามธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันโครงการแก้มลิงยังได้ขยายการดำเนินงานไปที่โครงการบรรเทาอุทกภัยตามพระราชดำริ (แก้มลิงหนองใหญ่) จังหวัดชุมพร และโครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอีกด้วย
พระราชกรณียกิจด้านดาวเทียม
ดาวเทียมไทยคมนับว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมของไทยก้าวสู่ยุคแห่งความล้ำหน้า และได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนองพระราชดำริในเรื่องของการศึกษา คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย เป็นผู้สนองพระราชภารกิจที่โรงเรียนไกลกังวล หัวหินซึ่งขณะนี้ได้พยายามที่จะนำเอาดาวเทียมไทยคมเข้าไปใช้ในกิจการด้านการเรียนการสอน เจตนารมณ์ดังกล่าวเป็นการสนองตอบความต้องการของประชาชน และเป็นการปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาให้สอดคล้องกับยุคสมัยอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการจัดการศึกษาใต้ร่มพระบารมีอย่างแท้จริง และที่สำคัญเพื่อเป็นการสนองพระบรมราโชบายทางการศึกษา ในอันที่จะทำให้โรงเรียนไกลกังวลเป็นเครือข่ายและเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาไทยคมอย่างแท้จริง กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นอเนกอนันต์ต่อประเทศชาติ ที่ได้มีพระราชดำริให้มีการพัฒนางานทางระบบวิทยุสื่อสารขึ้นในประเทศอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพราะสังคมปัจจุบันนั้น การสื่อสารก็เปรียบเสมือนกับระบบประสาทของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงนับได้ว่า พระองค์ท่านนั้นมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงเห็นบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการสื่อสาร
ทฤษฎีการป้องกันการเสื่อมโทรมและพังทลายของดินโดยหญ้าแฝก พืชจากพระราชดำริ : กำแพงที่มีชีวิตในการอนุรักษ์และคืนธรรมชาติสู่แผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงสภาพปัญหาการชะล้างพังทลายของดินและการสูญเสียหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ จึงทรงศึกษาถึงศักยภาพของ “หญ้าแฝก” ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านของไทย ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดินและอนุรักษ์ความชุ่มชื้นใต้ดิน ซึ่งมีวิธีการปลูกแบบง่าย ๆเกษตรกรสามารถดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องให้การดูแลหลังการปลูกมากนัก ทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการศึกษาทดลองเกี่ยวกับหญ้าแฝก ลักษณะของหญ้าแฝก หญ้าแฝกมีชื่อสามัญเป็นภาษาอังกฤษว่าVetiver Grass มีด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ หญ้าแฝกดอน (Vetiveria nemoralis A. Camus) และหญ้าแฝกหอม (Vetiveria zizanioides Nash) เป็นพืชที่มีอายุได้หลายปี ขึ้นเป็นกอแน่น มีใบเป็นรูปขอบขนานแคบปลายสอบแหลม ยาว 35-80 ซม.มีส่วนกว้าง 5-9 มม. หญ้าแฝกจะมีการขยายพันธุ์ที่ได้ผลรวดเร็ว โดยการแตกหน่อจากลำต้นใต้ดิน ในบางโอกาสสามารถแตกแขนงและรากออกในส่วนของก้านช่อดอกได้ เมื่อหญ้าแฝกโน้มลงดินทำให้มีการเจริญเติบโตเป็นกอหญ้าแฝกใหม่ได้
จากการดำเนินงานที่ทุกหน่วยงานได้ร่วมมือกันให้เป็นไปตามพระราชดำริ ทำให้มีผลการศึกษาและการปฏิบัติได้ผลอย่างชัดเจน จนเป็นที่ยอมรับจากธนาคารโลกว่า “ประเทศไทยทำได้ผลอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม” เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 International Erosion Control Association(IECA) ได้มีมติถวายรางวัลThe International Erosion Control Association’s International Merit Award แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็นแบบอย่างในการนำหญ้าแฝกมาใช้ในการอนุรักษ์ดินและน้ำ และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2536 ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำแห่งธนาคารโลก ได้นำคณะเข้าเฝ้า ทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้า ฯ ถวายแผ่นเกียรติบัตรเป็นภาพรากหญ้าแฝกชุบสำริด ซึ่งเป็นรางวัลสดุดีพระเกียรติคุณ (Award of Recognition) ในฐานะที่ทรงมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งเสริมการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำ และผลการดำเนินงานหญ้าแฝกในประเทศไทยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลก ความอุดมสมบูรณ์ ของผืนแผ่นดินที่กลับคืนมานี้ เป็นเพราะพระวิริยะอุตสาหะและพระปรีชาญาณอันยาวไกลแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงศึกษาวิเคราะห์เพื่อหาหนทางในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยที่กำลังถูกทำลายไปอย่างรวดเร็วทั้งนี้เพื่อความมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุขของประชาชนอย่างแท้จริง
อ้างอิงจาก http://www.rdpb.go.th/thai/concept/grass.html
“...เมื่ออายุ ๕ ขวบ มีลิงเอากล้วยไปให้มันเคี้ยว เคี้ยว แล้วใส่ในแก้มลิง ตกลง “โครงการแก้มลิง” นี้มีที่เกิด เมื่อเราอายุ ๕ ขวบ ก็นี่เป็นเวลา ๖๓ ปี มาแล้ว ลิงสมัยโน้นลิงโบราณเขาก็มีแก้มลิงแล้ว เขาเคี้ยว แล้วเอาเข้าไปเก็บในแก้ม น้ำท่วมลงมา ถ้าไม่ทำ “โครงการแก้มลิง” เพื่อที่จะเอาน้ำนี้ไปเก็บไว้...” พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๘
โครงการแก้มลิงเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยการขุดลอกคลองชายฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นคลองพักน้ำขนาดใหญ่หรือ “แก้มลิง” แล้วระบายน้ำออกสู่ทะเลโดยใช้หลักทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก หรือน้ำขึ้นน้ำลงตามธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันโครงการแก้มลิงยังได้ขยายการดำเนินงานไปที่โครงการบรรเทาอุทกภัยตามพระราชดำริ (แก้มลิงหนองใหญ่) จังหวัดชุมพร และโครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอีกด้วย
พระราชกรณียกิจด้านดาวเทียม
ดาวเทียมไทยคมนับว่า เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การสื่อสารโทรคมนาคมของไทยก้าวสู่ยุคแห่งความล้ำหน้า และได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสนองพระราชดำริในเรื่องของการศึกษา คุณขวัญแก้ว วัชโรทัย เป็นผู้สนองพระราชภารกิจที่โรงเรียนไกลกังวล หัวหินซึ่งขณะนี้ได้พยายามที่จะนำเอาดาวเทียมไทยคมเข้าไปใช้ในกิจการด้านการเรียนการสอน เจตนารมณ์ดังกล่าวเป็นการสนองตอบความต้องการของประชาชน และเป็นการปรับปรุงในเรื่องของการศึกษาให้สอดคล้องกับยุคสมัยอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นการจัดการศึกษาใต้ร่มพระบารมีอย่างแท้จริง และที่สำคัญเพื่อเป็นการสนองพระบรมราโชบายทางการศึกษา ในอันที่จะทำให้โรงเรียนไกลกังวลเป็นเครือข่ายและเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาไทยคมอย่างแท้จริง กล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นอเนกอนันต์ต่อประเทศชาติ ที่ได้มีพระราชดำริให้มีการพัฒนางานทางระบบวิทยุสื่อสารขึ้นในประเทศอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เพราะสังคมปัจจุบันนั้น การสื่อสารก็เปรียบเสมือนกับระบบประสาทของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นจึงนับได้ว่า พระองค์ท่านนั้นมีสายพระเนตรที่ยาวไกล ทรงเห็นบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อการสื่อสาร
ทฤษฎีการป้องกันการเสื่อมโทรมและพังทลายของดินโดยหญ้าแฝก พืชจากพระราชดำริ : กำแพงที่มีชีวิตในการอนุรักษ์และคืนธรรมชาติสู่แผ่นดิน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงสภาพปัญหาการชะล้างพังทลายของดินและการสูญเสียหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ จึงทรงศึกษาถึงศักยภาพของ “หญ้าแฝก” ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านของไทย ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดินและอนุรักษ์ความชุ่มชื้นใต้ดิน ซึ่งมีวิธีการปลูกแบบง่าย ๆเกษตรกรสามารถดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องให้การดูแลหลังการปลูกมากนัก ทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าวิธีอื่น ๆ อีกด้วย จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้ดำเนินการศึกษาทดลองเกี่ยวกับหญ้าแฝก ลักษณะของหญ้าแฝก หญ้าแฝกมีชื่อสามัญเป็นภาษาอังกฤษว่าVetiver Grass มีด้วยกัน 2 สายพันธุ์ คือ หญ้าแฝกดอน (Vetiveria nemoralis A. Camus) และหญ้าแฝกหอม (Vetiveria zizanioides Nash) เป็นพืชที่มีอายุได้หลายปี ขึ้นเป็นกอแน่น มีใบเป็นรูปขอบขนานแคบปลายสอบแหลม ยาว 35-80 ซม.มีส่วนกว้าง 5-9 มม. หญ้าแฝกจะมีการขยายพันธุ์ที่ได้ผลรวดเร็ว โดยการแตกหน่อจากลำต้นใต้ดิน ในบางโอกาสสามารถแตกแขนงและรากออกในส่วนของก้านช่อดอกได้ เมื่อหญ้าแฝกโน้มลงดินทำให้มีการเจริญเติบโตเป็นกอหญ้าแฝกใหม่ได้
จากการดำเนินงานที่ทุกหน่วยงานได้ร่วมมือกันให้เป็นไปตามพระราชดำริ ทำให้มีผลการศึกษาและการปฏิบัติได้ผลอย่างชัดเจน จนเป็นที่ยอมรับจากธนาคารโลกว่า “ประเทศไทยทำได้ผลอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม” เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 International Erosion Control Association(IECA) ได้มีมติถวายรางวัลThe International Erosion Control Association’s International Merit Award แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงเป็นแบบอย่างในการนำหญ้าแฝกมาใช้ในการอนุรักษ์ดินและน้ำ และเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2536 ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำแห่งธนาคารโลก ได้นำคณะเข้าเฝ้า ทูลละอองธุลีพระบาททูลเกล้า ฯ ถวายแผ่นเกียรติบัตรเป็นภาพรากหญ้าแฝกชุบสำริด ซึ่งเป็นรางวัลสดุดีพระเกียรติคุณ (Award of Recognition) ในฐานะที่ทรงมุ่งมั่นในการพัฒนาและส่งเสริมการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำ และผลการดำเนินงานหญ้าแฝกในประเทศไทยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลก ความอุดมสมบูรณ์ ของผืนแผ่นดินที่กลับคืนมานี้ เป็นเพราะพระวิริยะอุตสาหะและพระปรีชาญาณอันยาวไกลแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงศึกษาวิเคราะห์เพื่อหาหนทางในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยที่กำลังถูกทำลายไปอย่างรวดเร็วทั้งนี้เพื่อความมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุขของประชาชนอย่างแท้จริง
อ้างอิงจาก http://www.rdpb.go.th/thai/concept/grass.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)